ผู้ใหญ่บ้าน Hamburg

someone in Hamburg who try to be expert in something

Archive for พฤศจิกายน 2008

เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 5 ปราสาทปราก 2

with 2 comments

อ่านตอนเก่า ๆ ได้ที่

  1. เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 1 เหนื่อยมากขอบอก
  2. เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 2 ครึ่งวันแรก
  3. เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 3 เที่ยววันแรก
  4. เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 4 ปราสาทปราก

ช่วงนี่ยุ่ง ๆ อยู่กับการจัดการเว็บใหม่ กำลังเห่อ Web host ฟรีข้าง ๆ เล่นได้เยอะแถมไม่เคยล่ม

มาเข้าเรื่องกันต่อ

จุดชมวิวด้านหลังปราสาท


สิ่งที่น่าสังเกตคือเืมืองหลวงของหลาย ๆ ประเทศที่เจริญแล้วที่มีแม่น้ำคั่นกลางนั้นจะมีสะพานเยอะมาก

เรายังเดินวน ๆ กันอยู่ในบริเวณของปราสาทปรากเพื่อใช้ปรากการ์ดให้คุ้มที่สุด จุดต่อไปที่จะ
เข้าชมก็คือ Poder Tower ซึ่งเป็นป้อมสำหรับทำดินปืน พอดีช่วงนี้มีการจัดนิทรรศการณ์
เกี่ยวกับหมวกของทหารในยุคต่าง ๆ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ เพราะได้ดูหมวกของ
ทหารในยุคดัง ๆ หลายอัน และผู้ดูแลก็ยิ้มแย้มผิดกับที่อื่น ๆ คุณย่าคุณยายที่ป้อมนี้ดูจะชอบ
เด็ก หยอกล้อเจ้านีรตลอด  ทำให้การเดินดูในป้อมที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูแต่ก็น่าดูกว่าที่อื่น
เป็นไหน ๆ ภายในจะมีอาวุธในสมัยต่าง ๆ ให้ดู

รูปหมวกข้างล่างเข้าใจว่าเป็นหมวกของคนสำคัญ จำไม่ได้แล้วว่าของใคร เพราะไม่รู้จัก

นอกจากหมวกที่สวยที่สุดข้างบนแล้วก็มีหมวกในยุคสมัยต่าง ๆ วางจัดโชว์ในตู้พร้อมทั้งมี
ป้ายบอกว่าเป็นของใคร ในนี้จะถ่ายรูปต้องโชว์บัตรเบ่งนะครับ
ผู้เขียนช่วงที่ไปเที่ยวปรากนั้น เหนื่อยนะครับบางครั้งเจ้าตัวน้อยก็หมดแรงเอาซะดื้อ ๆ
มองจากด้านหลัง ผู้ชายวัย 36 ปี อย่างผมหัวยังดำหมด แต่เริ่มมีร่องรอยแห่งอนาคต
ที่ใสสะอาดบ้างแล้ว

พอออกจากป้อมมา พวกเราก็เดินวนกลับมาที่โบสถ์ และเป็นดังที่คาดการณ์ไว้คือคนที่เคย
ต่อคิวยาวเป็นสิบเมตร ตอนนี้ก็ไม่เหลือ เดินเข้าไปได้สบาย แถมถ่ายรูปได้โดยที่คนไม่แน่น
ภายในโบสถ์นั้นถ้าอยู่แต่ข้างในก็จะไม่รู้หรอกว่าเป็นของประเทศไหน ก็มันเหมือน ๆ กันไป
หมด ความสวยงามก็อาจจะไม่ต่างกันด้วย สิ่งที่ต่างน่าจะเป็นเรื่องเล่า ส่วนอันนี้มันดังเพราะ
มันอยู่ในบริเวณปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง

เข้าไปในโบสถ์ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือถ่ายรูปกระจกสี งวดนี้ไม่ค่อยได้จงใจถ่ายเท่าไหร่
เพราะเยอะไปหมด แต่ละอันก็มีเรื่องราวแตกต่างกันออกไป

ของสวยงานในมุมหนึ่งของโบสถ์

ตอนนี้รูปเยอะบรรยายน้อย เพราะว่าช่วงเที่ยวเดินกับเดินเหนื่อยนะครับ ตอนช่วงเช้าเรา
ไม่ได้ถ่ายรูปโบสถ์ด้านข้างมากนัก เพราะแดดแรงถ่ายไปก็ไม่เห็นอะไร (หน้าคน) ตอนนี้
เราก็เลยย้อยกลับมาถ่ายรูปโบสถ์ด้านนอกอีกครั้ง คราวนี้สบายเพราะแดดไปหมดแล้ว

คราวนี้ก็เลยถ่ายสบาย แต่ด้วยความจำกัดของกล้องและฝีมือก็เลยได้ภาพเท่าที่เห็นเนี่ยแหละ
ช่วงนี้น้องนีรเริ่มเบื่อและเหนื่อย ทำให้ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก ที่ตรงทางออกมีร้าน
ขายของที่ระลึกตอนแรกก็เข้าไปเลือกดูกันสามคน ตอนหลังผมต้องเอาเจ้านีรออกมา เพราะ
พอพลังหมดการควบคุมอารมณ์ก็ลดลงเริ่มสนใจของที่แตกหรือเสียหายได้ ทำให้ปลอดภัย
ไว้ก่อนดีกว่า

ผมพาเจ้านีรออกมาด้านนอกซึ่งก็ยังพอมีอะไรให้ดูบ้าง รูปข้างบนนี้ดูไปก็ธรรมดานะครับ
แต่จริง ๆ แล้วด้านหลังเป็นสระน้ำและจุดที่เจ้านีรนั่งก็สูงจากพื้นราว ๆ เมตรครึ่ง ผมจับ
เจ้านีรนั่งแล้วก็รีบวิ่งลงไปถ่าย แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปอุ้มเ้จ้านีรลงมา  จากนั้นเราสองพ่อลูก
ก็หลบไปนั่งอีกด้านของตึก ผมนั่งชมวิวด้วยความตื่นเต้น เพราะยามบ่ายอย่างนี้จะมีสาว
กระโปรงบางมาเดินให้ลมตีกระโปรงเล่น สาวผิวขาวขนสีทองใส่ชุดขาวเวลาเดินผ่านแสง
แดดอ่อนแล้วน่ามองยิ่งนัก จะว่าไปสามเช็คนั้นสวยและหุ่นดีกว่าสาวเยอรมันเยอะทีเดียว
การแต่งกายก็ดูดีกว่า ตรงนี้เราใช้เวลานั่งพัก และทำกิจกรรมพ่อลูก

นั่นคือนั่งเล่น UNO กัน รูปข้างบนนี้แสดงให้เห็นนะครับว่ามือเล็ก ๆ ของเ้จ้านีรสามารถถือ
การ์ดเจ็ดแปดใบในคราเดียวได้อย่างไร เล่นไปได้สองสามเกมเจ้าคนเป็นพ่อก็ชักหิว นึก
ขึ้นได้ว่าคนเป็นแม่เตรียมอะไรมาให้กินเยอะแยะ ว่าแล้วก็จัดแจงเอาแอปเปิลออกมาแบ่ง
กันกินกันลูก

เวลากินแอปเปิลเนี่ย ถ้าไม่มีมีดผมจะต้องขบแอปเปิดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อน ไม่งั้น
เจ้าตัวน้อยก็กินเองไม่ได้ (แอปเปิลเนื้อกรอบขบออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้) กว่าเจ้าตัวน้อย
จะกินได้ครบหนึ่งลูก คนเป็นพ่อซัดไปสองแล้ว ในขณะที่พ่อลูกกำลังสนุกสนานกับการ
กินผู้เป็นแม่ก็เดินมาพร้อมกับโปสการ์ดสามสี่ใบ เรานั่งพักกันได้ซักพัก พ่อเจ้าตัวน้อย
อิ่มมีแรง ก็เดินทางกันต่อไป

ช่วงบ่ายแก่ ๆ หน้าร้อนที่ปรากนี้ แดดอยู่ในระดับสายตาพอดี เป็นทหารยามก็ต้องใช้
วิธีนี้ ไม่งั้นก็ยืนอยู่ไม่ได้เป็นแน่

ด้านนี้ของปราสาทนั้นดูสวยกว่าด้านอื่น เพราะมีโบสถ์เซนต์นิโคลัสตั้งเด่นยอดเป็นสีเขียว
อยู่ ซึ่งมันจะตัดกับหลังคาสีน้ำตาลส้มทำให้ดูสวยงามมากทีเดียว

พอถึงตรงนี้ ก็ได้เวลาลงจากปราสาท เราเลือกเดินลงอีกทางและตัดการเดินเที่ยวสวนในปราสาท
ทิ้งไป เพราะไม่มีแรงเดินมาก แวะพักกินของกินที่เตรียมมาอีกรอบจนอิ่มแล้วก็เดินทางลงไป
ด้านล่าง


ทางเดินขากลับเป็นทางชัน แต่เป็นทางลงก็ไม่่เหนื่อย แต่ถึงอย่างไรเจ้าตัวเล็กก็ไม่
มีแรงอยู่ดี เราต้องผลัดกันอุ้มไปตลอดทาง (รถเข็นเข็นไปสลับกับอุ้มรถเข็นไป) ลงด้านนี้
ก็จะเห็นร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นร้านอาหารนั่นแหละ พื้นที่นี่ไม่เรียบเวลาเดินต้อง
ใช้พลังฝ่าเท้าเยอะ ตอนนี้ผมก็เริ่มปวดเท้าบ้างแล้ว ดีที่เอารองเท้าคู่ดีมา ไม่งั้นก็แย่
จุดเด่นของเส้นทางนี้เห็นจะไม่มีอะไรเิกินเจ้านี่


ซึ่งดูอย่างไรก็คล้ายคนนะครับ จะบอกว่าผีก็ใช่ ภรรยาเดินเห็นตอนไกล ๆ ก็ตกใจ เดินเข้า
ไปใกล้เห็นอีกก็อดตกใจไม่ได้ เจ้าตัวน้อยก็สนุกไปด้วย ด้านหลังของเจ้าผีัตัวนี้คือร้านเหล้า
นอกจากใช้เรียกคนให้หยุดเพื่อดูร้านได้แล้ว ก็ยังได้เงินบริจาคด้วย เข้าใจคิดดีทีเดียว ไม่
ต้องเหนื่อยเล่นดนตรีหรือนั่งหน้าห้องน้ำก็ได้เงินเยอะ ๆ ในถาดนั่นไม่ใช่น้อยนะครับ จะแวะ
เก็บบ้างในใจผมก็กลัวอยู่เหมือนกันเผื่อเจ้าของร้านนึกสนุกสวมร่างทำให้มันขยับได้ก็จะ
นอนไม่สนุกเลยคืนนั้น เราลงมาแล้วแผนต่อมาก็ตรงไปที่โบสถ์เซนต์นิโคลัสไอ้ยอดสีเขียว
นั่นแหละ แต่ดันปิดแล้วก็หาจุดพักอีก ช่วงนี้เดินไม่นานก็ต้องพักนะครับ ทั้งเหนื่อยและเจ็บ
เท้า

จุดที่น่าสนใจก็มีที่จอดรถที่ทำเป็นหน้าคน ตอนแรกนึกว่ามันเหมือนกันหมด พอดูดี ๆ
แต่ละเสาก็จะมีความแตกต่างกัน ช่างคิดดีทีเดียว

โบสถ์เซนต์นิโคลัสที่ดูข้างล่างก็ไม่ได้สวยอะไร

พอหมดจากตรงนี้ ก็ต้องกลับโรงแรม และเส้นทางที่เราเลือกก็กลับไปยังสะพานชื่อดัง
อีกครั้ง แวะถ่ายรูปบ้างเล็กน้อยแล้วก็ต้องกลับที่พัก วันนี้เล่นเอาเหนื่อยทีเดียว พอกลับ
ถึงที่พักก็มีสาวสเปนมาร่วมชั้นด้วยสองคน น้องนีรก็ไปจีบตามระเบียบ

ตอนหน้าเป็นการเที่ยววันที่สาม ซึ่งเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดไม่รู้ว่าเที่ยวได้อย่างไร จะรีบเขียน
ให้เร็วที่สุดก่อนผมจะต้องไปเม็กซิโกครับ

อ่านตอนต่อไปได้ที่

เที่ยว ปราก Prague กับเจ้าตัวน้อย 5 วัน 4 คืน – ตอนที่ 6 เหนื่อยจนหลับ

Written by tsvhh

พฤศจิกายน 12, 2008 at 10:18 am

เขียนใน เที่ยว

Tagged with ,

ข้อมูลของ Control Engineering Practice

leave a comment »

พอดีได้อ่านบทความของ Control Engineering Practice (CEP) เล่ม 17 (2009) ฉบับ
1 เรื่อง Feedback on the status of Control Engineering Practice ซึ่งมีเรื่องราว
น่าสนใจให้กล่าวถึง เลยเขียนบันทึกซะหน่อย

วารสารนี้พึ่งมีอายุได้แค่ 16 ปีเท่านั้นโดยที่ออกปีหนึ่ง 12 ฉบับ และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ
IEEE Transactions on Control Systems Technology (CST) ซึ่งมีอายุเท่ากันพอดี
แต่อันหลังนั้นออกแค่ปีละ 6 ฉบับ
CEP นั้นจะลงได้ยากกว่า CST อยู่เยอะเหมือนกันเพราะ
กฎข้อแรกในการตีพิมพ์นั้นต้องมีผลการทดลองจริง จะเป็นแค่ผลจำลองการทำงานบนเครื่อง
คอมพิวเตอร์นั้นไม่ได้ ซึ่งแค่นี้งานหลาย ๆ งานก็ไม่สามารถตีพิมพ์ลงในวารสารนี้ได้แล้ว
(ในสาขาวิศวกรรมระบบควบคุมนั้น การทำการทดลองจริงกับการจำลองการทำงานบนเครื่อง
คอมพิวเตอร์นั้นยากกว่ากันหลายเท่าตัวนัก) แต่กลายเป็นว่าค่า Impact Factor ของ CEP
นั้นอยู่ที่ 1.263 ในขณะที่ของ  CST นั้นอยู่ที่ 1.278 ซึ่งตัวเลขที่ว่านี้ไม่น่าแปลกใจนัก
เพราะเมื่อก่อนฐานข้อมูล Science Direct นั้นแพร่หลายสู้ IEEE ไม่ได้ นอกจากนั้นใน
หมู่คนทั่วไปย่อมรู้จักวารสารของ IEEE มากกว่า การอ้างอิงก็ต้องมากกว่าด้วย ปัจจุบันนั้น
เปลี่ยนไปเยอะ ฐานข้อมูลของ Science Direct นั้นดีกว่า IEEE Explore มาก ๆ โดย
เฉพาะเรื่องการเชื่อมโยงไปยังวารสารอื่น ๆ ทั้งในและนอกฐานข้อมูล ยิ่งมีฐานข้อมูล
SCOPUS เข้ามาเสริมแล้วยิ่งทิ้งห่างมาก ๆ เพราะยิ่งมีการเชื่อมโยงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีการ
อ้างอิงมากขึ้นเท่านั้น ตัวเลขนี้ไม่ได้ใช้ความรู้สึกในการตัดสินแต่ดูได้จากบทความข้างต้น
ที่กล่าวว่าเมื่อปี 2005 นั้น CEP มีค่า Impact Factor แค่ 0.53 เท่านั้น แต่ในระยะเวลา
เพียงแค่ไม่กี่ปีตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 1.278 ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 16 จาก 52 ในหมวด
Automation and Control Systems

เรามาดูความยากในการตีพิมพ์ลงใน CEP (ผมมีแผนว่าจะส่งไปลงกลางปีหน้า) ค่าเฉลี่ย
ในการรับพิจารณาบทความจะอยู่ที่ 75% ก่อนที่จะถูกส่งให้กรรมการตรวจสอบ ซึ่งกว่า
จะรูปผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญก็กินเวลาประมาณ 4 เดือน หลังจากการตรวจแก้
บทความกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย ยากน่าดูเหมือนกัน


Written by tsvhh

พฤศจิกายน 8, 2008 at 3:59 pm

เขียนใน research, Uncategorized

Tagged with ,