ผู้ใหญ่บ้าน Hamburg

someone in Hamburg who try to be expert in something

Archive for เมษายน 2008

West Germany – Luxemburg -Belgium Trip – ตอนที่ 2

with 5 comments

จากตอนที่แล้ว

สาเหตุของการไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้มีสาเหตุอะไร เป็นเป็นการไปเที่ยวประจำต้นปีของครอบครัวเรา
ซึ่งโดยปกติแล้วครอบครัวเราจะไปเที่ยวกันปีละสองครั้งคือต้นปีกับปลายปี ต้นปีส่วนใหญ่จะเป็น
การไปเที่ยวใกล้ ๆ และไม่ได้จริงจังอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมเยือน หรือเที่ยว
วันหยุดยาว ๆ แบบอีสเตอร์เท่านั้นเอง และก็เหมือนทุกต้นปีที่เราจะมีเวลาเตรียมตัวไม่มาก เรียก
ว่าตัดสินใจได้ก็ไปเลย และเพื่อให้การเดินทางประหยัดยิ่งขึ้นเราได้ซื้อตั๋ว Tchibo Ticket เตรียม
ไว้  ซึ่งตั๋วนี้ทำให้เราประหยัดเดินทางทั่วประเทศเยอรมันได้ในราคาเพียงเที่ยวละ 29 ยูโร และค่อน
ข้างจะสะดวกสบาย เพราะวันเดินทางผู้ใช้จะ็สามารถเขียนจุดหมายปลายทางก่อนขึ้นรถได้เลย ไม่
ต้องจองตั๋วเลือกเที่ยวให้ลำบาก อยากขึ้นคันไหนเวลาไหนก็ขึ้นเลย ขอแค่เขียนปลายทางให้ชัดเจน
เป็นพอ แต่ต้องระวังนะครับตั๋วนี้ถ้าเขียน ๆ ลบ ๆ ก็จะโดนหาว่าเจตนาโกง โดยปรับแน่นอน

เราเริ่มต้นการเดินทางออกจากฮัมบวร์กประมาณ 10 โมงเช้าโดยรถไฟ IC ไปยัง Düsseldorf เป็นอันดับ
แรก ซึ่งเราเลือกเวลาและทำเวลาได้ดี  นอกจากรถว่างมาก ๆ แล้วเวลายังไม่แน่นจนต้องรีบอะไร

เมื่อถึง Düsseldorf เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลย รู้แค่ว่าเวลาไปอังกฤษต้องขอวีซาที่นี่เท่านั้นกับ
รู้ว่าเมืองนี้เป็นเมือง Outlet สถานีรถไฟและสายรถไฟฟ้าใต้ดินไม่ได้คุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนที่ฮัมบวร์ก กว่า
จะเลือกสายเลือกเที่ยวก็ต้องโทรถามน้องเทนตลอด (ระบบตั๋วในเยอรมันต้องซื้อตั๋วให้ดี เพราะมันจะทำ
ให้ประหยัดเงินไปได้เยอะ) หลังจากที่เข้าพักที่โรงแรมบ้านน้องเทน แล้วพักทานน้ำขนมจนหายเหนื่อย เรา
ก็รอจนเจ้าตัวเล็กคุ้นเคยกับสถานที่และเข้าที่เข้าทาง จากนั้นเราก็ตรงรี่ไปยัง Outlet หาของถูกจนเป็นที่
พอใจแล้วก็กลับเข้ามาที่ ๆ พัก มาเจอกับน้องแซนโดยวัตถุประสงค์หลักคือให้น้องแซนพาไปเลี้ยงอาหาร
เกาหลีตามที่ถูกบีบคอให้สัญญาไว้ ข้อมูลควรรู้อีกอย่างของ Düsseldorf ก็คือเมืองนี้มีคนญี่ปุ่นอยู่เยอะ
ซึ่งไม่เกี่ยวกับร้านอาหารเกาหลีที่เราจะไปกินกัน

คนซ้ายคือน้องเทนผู้ให้ที่พักพิง คนขวาคือน้องแซนผู้ยินดีเลี้ยงอาหารเกาหลี ครอบครัวเราก็โชคดีอย่างนี้
แหละ

การไปพักกับเพื่อน ๆ นั้น สิ่งที่คุณต้องเตรียมไปก็คือเครื่องนอน เพื่อไม่ให้ขาดไม่ให้เหลือก็ควรจะตรวจ
สอบกับเจ้าของบ้านก่อนว่ามีเครื่องนอนให้หรือเปล่า งวดนี้เนื่องจากไปพักบ้านน้องเทนกันถึงสี่คน ไม่มี
ทางที่เจ้าของบ้านจะมีเครื่องนอนให้พออยู่แล้ว ก่อนเดินทางเราก็จำเป็นต้องซื้อถุงนอนอย่างดีราคาตั้ง
89 ยูโร แต่เราซื้อในราคาลดแล้วลดอีกเหลือแค่ 10 ยูโรเท่านั้น แรก ๆ ก็ไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่ เพราะ
มันทั้งหนาทั้งหนัก แต่พอเอามาใช้งานจริงจังมันเยี่ยมมากเลยครับ น้องเทนนอกจากจะมีที่ให้พักพิงแล้ว
ยังลงทุนซื้อเตียงใหม่จาก IKEA ไว้รับแขกอีกด้วย งานนี้แขกไม่ได้ช่วยต่อเตียงแต่ได้ช่วยต่อโต๊ะกินข้าว
ให้

หลังจากพักผ่อนนอนหลับกันจนอิ่มเมื่อคืนแล้ว เราก็ออกเที่ยวโดยเป้าหมายก็คือเที่ยว Düsseldorf และ
เมืองใกล้ ๆ ที่ผมขอร้องให้ไปให้ได้คือผมจะไปนั่ง Schwebebahn ที่เมือง Wuppertal ดังที่ได้กล่าว
ไปแล้วในตอนที่หนึ่ง ดังนั้นวันนี้เราจึงเที่ยว Düsseldorf ในช่วงเช้านิดเดียวเท่านั้น ไว้ตอนเย็นจะกลับมา
เที่ยวใหม่

Düsseldorf ในสายตาผมแล้วก็คือไม่มีอะไรให้เที่ยวนั้น แต่น่าอยู่สงบเงียบและมีธรรมชาติที่สวยงาม
เมืองสองฝั่งแม่น้ำไรน์ถ้าอากาศดีไม่ได้หนาวสะท้านอย่างวันที่ไป ก็จะเป็นสถานที่ที่น่านั่งเล่นพักผ่อนเป็น
อย่างยิ่ง

Düsseldorf ยังมีการจัดการแข่งขันตีลังกาประจำทุกปี และก็มีถนนบาร์ที่นับรวมกันทุกซอกซอยแล้วยาวที่
สุดในโลกอีกด้วย

จากนั้นเราก็เคลื่อนทัพไปยังเมือง Wuppertal เมืองในเขต North Rhine-Westphalia เมืองที่จริง ๆ
แล้วมีจุดเด่นแค่ รถ monorail แบบแขวนและวิ่งเหนือ Wupper river 12 เมตรเท่านั้นเอง แต่จริง ๆ
ก็มีอะไรพอให้เที่ยวบ้างเช่น พิพิธภัณฑ์นาฬิกา ซึ่งวันที่ไปมันปิดก็เลยไม่ได้เข้าไปดู

หลังจากเดินสำรวจทั่วตัวเมืองแล้วเราก็ออกเดินทางด้วยการโดยสารรถไฟฟ้าที่แขวนเหนือน้ำ 12 เมตร โดย
ตัวสถานีมีหน้าตาแบบนี้

ทุกอย่างก็เหมือนสถานีรถไฟฟ้าทั่วไปในเยอรมัน ซึ่งมีทั้งบนดิน ใต้ดิน ลอยฟ้า ต่างกันแต่ว่ารถไฟฟ้าที่เมือง
นี้มันลอยมา

ภายในรถก็เหมือนรถไฟฟ้าทั่ว ๆ ไปอีกนั่นแหละ ต่างกันตรงที่ว่ามันแกว่งตลอดทาง ยิ่งเวลาเข้าโค้งแล้วหล่ะ
ก็ คนขับจะเข้าโค้งแบบมันสุด ๆ เหมือนหนึ่งว่ากำลังนั่งรถไฟฟ้าในสวนสนุกทีเดียว และที่ตื่นเต้นมากก็ตอน
ที่เข้าโค้งแล้วพวกเรามองออกไปนอกหน้าต่าง ตัวรถที่อยู่เหนือแม่น้ำวิ่งด้วยความเร็วสูงพร้อมกลับแกว่งไป
แกว่งมา เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อผู้ที่มาใหม่ยิ่งนัก ในขณะที่ผู้คนเมืองนี้ทำหน้าเบื่อ ๆ เพราะพวกเขาต้องนั่ง
รถที่ว่าไปไหนต่อไหนกันทุกวันอยู่แล้ว คงนึกในใจว่าไอ้พวกนี้มันมาตื่นเต้นอะไรกัน

ภาพข้างล่างแสดงให้เห็นรางรถไฟที่อยู่ข้างบน และช่วงเลี้ยวโค้งที่จะเห็นได้ว่าโค้งมาก ๆ

สนุกที่สุดเห็นจะเป็นคนนี้ ก่อนจากก็ขอยืนเท่ ๆ ถ่ายรูปซะหน่อย

รถแขวนนี้ ผู้มาเยือนสามารถใช้ตั๋วรัฐ ตั๋วสุดสัปดาห์ ขึ้นได้โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติม เพราะว่ามันเป็นรถ
โดยสารปกติจริง ๆ การนั่งรถไฟที่เมืองนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของใครบางคนที่เคยหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่า กทม ฯ
ว่าจะทำรถรางเรียบคลองแสนแสบ แล้วก็มีคนแย้งว่าต้องทำแบบที่เมือง Wuppertal นี่ แต่สุดท้ายไม่ว่า
ใครจะได้เป็น การสร้างจริง ๆ ก็ขึ้นกับรัฐบาลสมัยนั้น ๆ ด้วย ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

จริง ๆ เราวางแผนจะไปเที่ยวเมืองอื่นใกล้ ๆ แต่ติดด้วยอากาสที่แย่มาก ๆ นอกจากหนาวแล้วยังมืดคลึ้ม ก็
เลยตกลงใจพากันกลับมาที่ Düsseldorf เมืองที่น่าชม น่าอยู่ แต่ไม่มีอะไรให้เที่ยว เขาก็เลยทำอะไรให้
น่าจดจำหลายอย่างอยู่เช่น หอสูงที่ต้องเสียเงินขึ้นเลยไม่ขึ้น

ตึกรูปทรงแปลก ๆ ที่หาดูได้ยากเหมือนกัน อย่างตึกที่มีรูปทรงบูดเบี้ยว

ตึกที่มีรูปทรงประหลาด แปลก ๆ บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน

ขณะที่เราดูตึกไปนั้นลมแรงและอุณหภูมิต่ำมาก ๆ ทำให้ไม่ได้พินิจพิจารณาอะไรมากนัก สามารถเรียกได้ว่า
มาเที่ยวเพื่อดูเป็นบุญตาเท่านั้น และถ้าไม่รีบกลับที่พักก็อาจจะได้ใ้ช้ผลบุญในเวลาไม่นาน

ขากลับเราตัดสินใจเดินกลับ เพื่อที่จะได้ผ่านวิวสวย ๆ ของเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเห็นได้ทั่วไป
ตามหนังสือท่องเที่ยว

ถ้าเดินรอบ ๆ เมือง Düsseldorf ก็จะรู้สึกได้นะครับว่าจะพบเห็นต้นไม้หน้าตาอย่างรูปข้างล่างอยู่เต็มไป
หมด ได้ความจากน้องเทนว่าเคยมีผู้ว่าการเมืองคนหนึ่งเอามาปลูกไว้เนื่องจากมีความชอบเป็นพิเศษ ก็เลย
เห็นต้นไม้แบบนี้ได้ทั่วไปหมด

จริง ๆ Düsseldorf เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ เป็นเมืองที่มีสิ่งน่าสนใจเยอะ สะอาดเรียบร้อยและ
สวยงาม (แต่ไม่มีอะไรให้เที่ยว) เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อจักรยานที่สุดในเยอรมัน และอีกมากมาย (หาอ่าน
ได้ตามหนังสือท่องเที่ยวทั่วไป) เสียดายที่เราไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป้าหมายหลักของการมาที่นี่ก็คือ
มาเยี่ยมน้องเทน และเก็บภาพถ่ายกับความทรงจำที่ดีเท่านั้น

เช้าวันพรุ่งนี้เราจะต้องย้ายเมืองแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่เราจะต้องเจอะเจอในการเดินทางผ่านสามประเทศ
ในหนึ่งวันในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองหลวงของยุโรป Brussel นั่น
เอง

Read the rest of this entry »

Written by tsvhh

เมษายน 26, 2008 at 9:34 pm

เขียนใน เที่ยว

Tagged with , ,

การพ่ายแพ้ต่อเชลซีจะทำให้พ่ายแพ้ต่อทุกอย่าง

leave a comment »

ก็เป็นไปตามคาดเชลซียังรักษาสถิติต่อไป แมยูฯพลาดเองนัดที่แล้วที่ทำได้แค่เสมอ
การต้องรับบาซ่าฯ ในบ้านวันอังคารนี้ผมคิดว่าแพ้แน่นะครับ นักเตะกำลังใจไม่ดี ถ้า
กลับมาได้ก็กลับมาได้หมด ชนะสองนัดรวดที่เหลือคงไม่ยาก

บอลอังกฤษมันไม่ต้องลุ้นถึงนัดท้าย ๆ บ้างไม่ได้หรือไงวะ

Written by tsvhh

เมษายน 26, 2008 at 8:20 pm

การพ่ายแพ้ต่อเชลซีจะทำให้พ่ายแพ้ต่อทุกอย่าง

with one comment

ก็เป็นไปตามคาดเชลซียังรักษาสถิติต่อไป แมยูฯพลาดเองนัดที่แล้วที่ทำได้แค่เสมอ
การต้องรับบาซ่าฯ ในบ้านวันอังคารนี้ผมคิดว่าแพ้แน่นะครับ นักเตะกำลังใจไม่ดี ถ้า
กลับมาได้ก็กลับมาได้หมด ชนะสองนัดรวดที่เหลือคงไม่ยาก

บอลอังกฤษมันไม่ต้องลุ้นถึงนัดท้าย ๆ บ้างไม่ได้หรือไงวะ

Written by tsvhh

เมษายน 26, 2008 at 8:20 pm

เขียนใน แมนยูฯ, Evil

ถ้าผมไม่อยากตัดผมสั้นไปโรงเรียนมัธยม ผมควรจะ

with 4 comments

  1. ประท้วงโดยการไม่ตัดผม ไว้ผมยาว
  2. ประท้วงโดยการไม่สวัสดีคุณครู
  3. เขียนบทความลงหนังสือหรือเว็บ แสดงความไม่เห็นด้วย
  4. เขียนบทความลงหนังสือหรือเว็บ ด่ากฎและผู้ถือปฏิบัติ
  5. ทำหนังสือยื่นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนให้ทบทวนกฎระเบียบต่าง ๆ โดยผ่านประธานนักเรียน
  6. ทำแบบฮิรุม่า

ถ้านักเรียนเลือกข้อ … ในฐานะที่เป็นครู

  1. จับนักเรียนทำโทษที่ผิดระเบียบโรงเรียน ไล่ออก
  2. อยู่เฉย ๆ เพื่อนร่วมชั้นรุมด่า
  3. เขียนบทความชี้แจ้ง
  4. อยู่เฉย ๆ เพื่อนร่วมชั้นรุมด่า เกิดเหตุการณ์แบบศึกสวนกุหลาบ
  5. รับฟังชี้แจง ร่วมแก้ไขกับนักเรียน
  6. ยอม

ที่ใดมีกฎระเบียบที่ไม่เข้าด้วยสิทธิความเป็นคน ต้องแก้ที่ระเบียบไม่ใช่ด่าคนถือปฏิบัติและควบคุม
ระเบียบ เพราะไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะเปลี่ยนระเบียบ

กรณีข้อ 1 สุดท้าย ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ต้องเสียเวลามายกโทษให้ แล้วก็เอ่ยปากว่าระเบียบมัน
ล้าสมัยสมควรแก้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครแก้เพราะไม่ใช่หน้าที่ ไม่ได้เดือดร้อน แต่คนเดือดร้อนไม่
เลือกข้อ 5 เอง ดันเลือกข้อหนึ่งแล้วเดินบนเส้นขนาน

Written by tsvhh

เมษายน 25, 2008 at 2:05 pm

เขียนใน ขำ, สังคม

Tagged with ,

The Leaf’s Origins

leave a comment »

Senju Hashirama the tree element user who became the first hokage, the greatest ninja of his time and the only man I had ever admired.–Tobi

Written by tsvhh

เมษายน 25, 2008 at 9:05 am

เขียนใน blog, Evil

Space Shuttle Buran on Ship, Road

leave a comment »

เมื่อวานดูสารคดี (จริง ๆ ข่าวมันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว) นึกว่าเยอรมันซื้อกระสวยอวกาศของ NASA
มาตั้งโชว์ ปรากฎว่าเป็นของรัสเซีย โอกาสดีมาอีกแล้ว ไว้ว่าง ๆ จะพาไอ้ตัวน้อยไปดูไอ้เจ้าซากที่มี
ราคาค่าตัว ค่าขนส่ง ค่าติดตั้ง 10 ล้านยูโร (ปาเข้าไป 15.8 ล้านเหรียญแล้ว)

ภาพทั้งหมดจาก Spiegel Online 

across Germany to its final destination, the Technical Museum in Speyer. Here it passes Cologne Cathedral.The Buran was developed by the Soviets in the 1970s. It is a near-copy of US space shuttles from that period. But it was too expensive to ever go into regular service.

ด้านล่างเป็นเรื่องราวจริง ๆ ของกระสวยอวกาศลำนี้ ที่ไม่ตรงกับข่าวลือเกี่ยวกับกระสวยอวกาศ
เท่าไหร่นัก

 

The Buran — the name means “blizzard” in Russian — was built by the Soviet Union as a near-copy of the American space shuttles that made its first flight in 1977. The Soviet Union feared that US space shuttles would be used for military purposes, and began developing their own copycat spacecraft technology in the late 1970s.

The shuttle which is on its way to Speyer is named the Analog Buran. One of several test models, it made 25 suborbital flights between 1985 and 1988, before the program was abandoned as the Soviet Union broke apart.

A decade later, a team of Australian entrepreneurs purchased the Analog Buran and put it on display during the 2000 Summer Olympic Games in Sydney. However poor ticket sales grounded their plans to take the shuttle on tour, and it sat neglected for a year until a new company purchased it and moved it to Bahrain. There, it anchored an exhibit during a summer festival in 2002, before being shipped to a junkyard to wait out a legal dispute between its new owners and its Russian manufacturers.

The Buran languished in the junkyard for almost five years, until the German museum secured its purchase and arranged for it to be sent by ship and barge to Speyer.

The spacecraft started its slow seaborne journey last month. It was disassembled and lowered into the hull of a ship that took it through the Suez Canal and the Strait of Gibraltar, then around Portugal, through the English Channel and on to Rotterdam.

At midday Monday, the Buran was floating past Xanten, a town in the German state of North Rhine-Westphalia.

The museum is building a new exhibition hall to house the Russian space shuttle alongside items like space suits and model satellites. “Apollo and Beyond,” as the permanent exhibit will be called, is scheduled to open to visitors this summer. — จาก Spiegel Online

อ่านจบแล้วมันเป็นกระสวยอวกาศพเนจรนี่เอง

Written by tsvhh

เมษายน 23, 2008 at 11:01 am

เขียนใน angel, เที่ยว, blog

มหาอำนาจดับ

with one comment

ผมมีเพื่อนเป็นคนอิรัก อิหร่าน อียิปต์ ปากีฯ เท่าที่รู้จักกันมาสองปีทำให้เข้าใจความหมายของประโยค

เจองูกับเจอแขกให้ตีแขกก่อน

ได้เป็นอย่างดี นี่ยังไม่นับแขกอิเดียที่นับหัวคนใช้งานได้จากคนพันล้านคน

ผมเคยมีเพื่อนเป็นคนกรีก อดีตมหาอำนาจที่ปัจจุบันแทบไม่เหลืออะไรเลย เพื่อนกรีกเคยมาให้ติวข้อ
สอบให้ สอบครั้งแรกเรามีเวลาสอนไป สอบครั้งที่สองเราไม่มีเวลาบอกว่ายังไม่ได้อ่านเหมือนกัน
แล้ว อ่านช่วงสุดท้ายของเวลาที่เหลืออยู่ ปรากฎว่าเราได้ห้าสิบเพื่อนได้ศูนย์ ผลก็คือมันเลิกคบผม ก็
ไม่น่า แปลกใจเพราะระบบการเรียนที่อังกฤษนั้น คิดคะแนนรวมแล้วถ้าตกก็ตกไปเลย สอบแก้ตัวนั้น
ไม่มีอยู่ ในระบบ อย่างดีก็แค่ได้ประกาศนียบัตรหรือพูดง่าย ๆ ว่าใบแสดงว่าผ่านการเรียนที่น่าขาย
หน้ามากกว่าภูมิใจ

อิรักนับเป็นประเทศที่รุ่งเรืองมากตั้งแต่อดีต ปัจจุบันมีน้ำมันในปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของโลก เพื่อน
เล่าแบบขมขื่นว่าก่อนการมาของซัดดัม ประเทศของเขาเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ มหาวิทยาลัยเต็ม
ไปด้วยชาวต่างชาติจากประเทศซึ่งชื่อว่าเจริญแล้ว หลังจากการมาของซัดดัมทุกอย่างก็หายไป
หมด แต่คบกันมานาน ผมก็รู้ว่าเจ้านี่มันชอบโกหกแบบซึ่งหน้า เอาเป็นว่าโกหกแบบหน้าด้าน ๆ
เวลาเจอ พวกเดียวกัน(อิรัก)ก็จะโม้เกินตัวไปแบบที่ชาตินี้คงเป็นไม่ได้ เพื่อนของเขาก็จะโม้ตอบทำ
ให้ออกรสชาติมาก

เพื่อนอียิปต์นั้นพูดอย่างทำอย่าง ขโมยงานและเอาหน้า ดีอย่างเดียวคือขยันแบบเกินสองร้อย

เพื่อนภรรยาที่มาจากอังกฤษ เล่าว่าตอนนี้นักเรียนทุน กพ. ระดับปริญญาเอกจะไม่ถูกส่งไปเรียน
อังกฤษอีกแล้ว เนื่องจากประเทศนี้เก็บค่าที่นั่ง(bench fee) ในราคาที่มากกว่าค่าเล่าเรียนต่อปี 
(ค่าเล่าเรียนรวมค่ากินอยู่ระดับปริญญาเอกในเยอรมัน หกปี รวมสามล้านบาท ในขณะที่ถ้า
เรียนที่อังกฤษค่าเล่าเรียนรวมค่าที่นั่งและไม่รวมค่ากินอยู่ตกปีละสองล้าน ถ้ารวมค่ากินอยู่
ด้วยก็เรียนสามปีก็อีกปีละห้าแสน ดังนั้นด็อกเตอร์จากอังกฤษรัฐบาลจะต้องเสียเงิน 7.5 
ล้านบาท แต่รับประกันว่าจบแน่นอนภายในสี่ปี ในขณะที่ของเยอรมันหกปีอาจจะไม่จบ)
ซึ่ง
เป็นเงินที่เหนือความคาดหมายและจะกระทบต่อนักเรียนทุนประเทศอื่น เพราะใช้เงินก้อนเดียวกัน
ประเทศอังกฤษเคยเป็นมหาอำนาจที่ล้มเยอรมันได้ด้วยการวางแผน และเห็นความสำคัญของการ
สื่อสารมาเป็นอันดับต้น ๆ (อังกฤษได้เปรียบเพราะเยอรมันไม่สามารถบุกทางพื้นดินได้ และกอง
กำลัง ทางเรือสู้อังกฤษไม่ได้ ถึงแม้จะมีเรือดำน้ำแต่เรือดำน้ำก็ขนรถถังไม่ได้ ตอนหลังเจอเครื่องมือ
ตรวจ จับชนิดใหม่ของอักกฤษ เรือดำน้ำของเยอรมันก็ไร้พิษสง ถ้าเล่นเกม Free CIV จะเข้าใจ พล
ร่มจึง มีความสำคัญมาก ๆ)     

ปัจจุบันอังกฤษเป็นประเทศยากจน หากินกับนักศึกษาต่างชาติ ค่าภาษีสนามบินและค่าวีซ่า รวมทั้ง
สูบเลือดเอาจากอิรักและถ่ายทอดฟุตบอล ตัวประเทศเองมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยในชีวิตค่อน
ข้างมาก อังกฤษอาจจะมีข้อได้เปรียบในระยะยาวที่อาจจะดีหรือไม่ดีไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ
วิทยานิพนธ์ของอังกฤษไม่เปิดเผยถ้าไม่ได้รับอนุญาต ในขณะที่ของเยอรมันคุณจบไม่ได้ถ้างาน
ของคุณไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน

เพื่อนมาจากอังกฤษค่อนข้างจะตื่นเต้นกับการมาเจอประเทศที่เจริญกว่า ที่อังกฤษเมืองที่มีรถไฟฟ้า
ใต้ดินแค่สองเมือง ในขณะที่เยอรมันนั้นมีนับไม่ถ้วน ที่สำคัญเรื่องของข้อมูลข่าวสารนั้นประเทศนี้
(เยอรมัน)นั้นครบถ้วนและสมบูรณ์มาก ๆ เรียกว่าการอยู่เยอรมันนาน ๆ แล้วไปเที่ยวประเทศอื่นรอบ
เยอรมันอาจจะสร้างความหงุดหงิดให้คุณได้พอสมควร

ประเทศเยอรมันนั้นเป็นประเทศที่ชอบใช้วิธีการแก้ไขเฉพาะหน้า บ่อยครั้งที่จะพบว่าประเทศนี้มีคน
ใช้เครื่องมืออันทันสมัยเป็นอยู่คนเดียวในหน่วยงาน นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เจอในประเทศนี้เวลาจะ
ทำงาน จะร้องของโปรแกรมสำเร็จรูปก่อนการของเอกสารทางทฤษฎีก่อนเสมอ ยกตัวอย่างเด็ก
เยอรมันคนหนึ่งรู้ทั้งรู้ว่าการใช้สัญญาณความถี่ 50 Hz ในการส่งข้อมูลจะเจอปัญหาเรื่องสัญญาณ
รบกวนขนาดใหญ่จากระบบไฟฟ้าในตัวอาคารก็ยังดันทุรังใช้ แล้วให้เหตุผลว่างานจริงใช้กลางทุ่ง
ไม่ได้ใช้ในตัวอาคาร  สุดท้ายงานของเด็กเยอรมันที่เจอส่วนใหญ่คือทำงานได้ แต่ไม่สามารถต่อ
ยอดทางทฤษฎีได้  นี่คือตัวอย่างหนึ่งของประเทศที่สร้างขึ้นจากแนวคิดของวิศวกร  (คุยจบยัง
จบแล้วจะได้เริ่มลงมือทำ
)  ซึ่งเป็นวิศวกรจริง ๆ ไม่ใช่วิศวกรคอมพิวเตอร์

ประเทศไทย คุณเชื่อผมเถอะว่าตอนนี้อั้นความเจริญไม่อยู่แล้ว ไม่กี่ปีข้างหน้าคนรวยในบ้านเมือง
เรา(มีเงินใช้จ่ายได้เป็นล้านในหนึ่งปี)ที่มีมากมายยิ่งกว่าเชื้อรา  จะผลักดันความเจริญ ในขณะที่
เจ้าเหนือหัวของเราพยายามยับยั้งความเจริญที่ไร้ทิศทาง ถ้าเราไม่ดูแลภาคการเกษตรโดยให้เงิน
สนับสนุน(ใต้ดิน)แบบยุโรปหล่ะก็ คนจะเป็นชาวนาน้อยลง ๆ เพราะสัดส่วนของลูกชาวนาที่
ทำงานในเมืองจะเยอะขึ้น ในขณะที่ปล่อยให้อาชีพทำนาเป็นงานที่ไม่พึงประสงค์ ไม่นานเราจะได้
เห็นบริษัทที่ลงทุนปลูกข้าว  และมีชาวนาเป็นลูกมือ คนในประเทศอย่างเราคงไม่เดือดร้อนเพราะ
เป็นประเทศปลูกข้าว แต่ประเทศอื่นหล่ะ สงครามโลกเริ่มแล้วซึ่งผิดคาดที่ไม่ได้เกิดจากน้ำมัน แต่
เกิดจากอาหาร 

Written by tsvhh

เมษายน 19, 2008 at 9:24 am

เขียนใน สังคม, Evil

การศึกษาเมืองไทยพังเพราะใคร ข่าวนี้น่าจะยืนยันได้

with 4 comments

  1. ศิริราชยันเด็กสอบได้ที่ 1 ของประเทศไม่สละสิทธิ เจ้าตัวเผยขอเรียนก่อนดร็อปคว้าทุน’คิง’
    มติชน
  2. แถลงโต้ที่1แพทย์อยู่ศิริราช — ข่าวสด

จริง ๆ ผมว่าการศึกษาเมืองไทยมันไม่ได้แย่อะไรนะครับ เพียงแต่มันพึ่งเริ่มต้นสู่วงกว้าง เพราะเมื่อก่อนการ
ศึกษาเป็นเรื่องของคนมีอันจะกิน มีเงินเหลือกินก็ส่งลูกไปเรียน ปัจจุบันการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคนชาว
บ้านชาวช่องก็ส่งลูกเรียนกันจนเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ไอ้คำพูดที่ว่า “ลูกฉันจบปริญญาทุกคน” ดูเหมือน
จะใช้ไม่ได้ ล่าสุดต้องพูดว่า “ลูกฉันจบด็อกเตอร์ทุกคน” อีกหน่อยค่านิยมเหล่านี้ก็คงจะหายไปเอง แล้ว
หันมาศึกษาหาความรู้ให้เข้ากับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ สำหรับชีวิต

เรื่องนี้สำคัญนะครับเพราะบางคนอยู่นอกระบบมีอิสระทางความคิดแล้วก็ยังผลักดันตัวเองเข้าสู่ระบบเข้าสู่
กรอบอีก ไม่เข้าใจเหมือนกัน ก็น่าจะเป็นเพราะว่าสังคมไทยเวลาอ้าปากพูดก็จะถูกถามก่อนว่าจบอะไรมา
ถ้าไม่ตรงกับเรื่องที่พูดก็จะถูกข้อร้องให้เลิกเถียงเพราะว่า “แม่กูเป็นพยาบาล” (นัยว่าเถียงกันเรื่องรักษา
พยาบาล แม่กูเป็นพยาบาลกูก็ต้องรู้ดีกว่ามึง) (ขอบ่นเพิ่มหน่อย บางคนไม่เข้าใจเรื่องการเว้นวรรคของ
ภาษาไทย แทนที่จะไปศึกษาหาความรู้เรื่องการเว้นวรรคที่ถูกต้อง ดันไปใช้จุดเพื่อแสดงการจบประโยค
ต้องถามว่าการใช้จุดมันเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่ เพราะตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าเราควรจะเว้นวรรค
ตรงไหน เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าควรใส่จุดตรงไหน ขำไหม)

กลับมาเข้าเรื่องการแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งของเด็กที่สอบเข้า ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทยนะ
ครับ แต่เป็นการสืบแนวความคิดจากอเมริกันชนโดยแท้ จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ เคยเล่นกันกับเพื่อนจนถึงชั้น
ม. 1 ทีเดียว พอโตกว่านั้นถ้าใครไปเล่นก็ถือว่าเป็นเรื่องงี่เง่า การเล่นก็มีอยู่ว่า

“สัตว์อะไรตัวใหญ่ที่สุดในโลก” “อ๋อปลาวาฬน่ะสิ” “ไม่ใช่ปลาวาฬท้องแก่ต่างหาก” “ใคร
ว่าปลาวาฬชุบแป้งทอดโว้ย” “งั้นไอ้กะทะที่ทอดปลาวาฬสิวะใหญ่กว่า” … “แม่กูเป็นครูนะ
เดี๋ยวกูจะพ่อแม่กู” …

เรื่องนี้จบไงไม่รู้ แต่อาจจะไปถึงรัฐมนตรีได้เลย

เรื่องของข่าวคือเป็นการแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งของประเทศ เริ่มจากมีการเสนอข่าวเด็กสาว(อัจฉริยะ–
คำฟุ่มเฟือยของคนไทยซึ่งหาตัวอย่างได้ทั่วไปตามมหาวิทยาลัย) อายุ 16 สอบได้ที่หนึ่งของประเทศใน
สาขาแพทย์ และเลือกเข้าแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ เรื่องน่าจะจบลงปรกติ น่ายินดีกับเด็กเก่ง แต่แล้ววันต่อมา

นายวรัตน์ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงจริง แต่สามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองไว้ได้ กระแสข่าวที่ว่าสละสิทธิ์ออกไปไม่ทราบว่าออกไปได้อย่างไร เพราะความจริงคือนักเรียนที่ได้อันดับ 1 ของกลุ่ม กสพท.ยังคงเป็นนักเรียนที่สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ทางจุฬาก็ออกมาโต้ว่า

ด้านน.พ.อดิศร ภัทราดูลย์ คณบดีคณะแพทย ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปีนี้นักเรียนที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ที่สอบเข้าคณะแพทย์ จุฬาฯ คือ น.ส.ธัญชนก ธีรรัตน์กุล จากร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ได้คะแนน 79.9443 ซึ่งขณะนี้มารายงานตัว สอบสัมภาษณ์ และทำสัญญาการเรียนแพทย์ เมื่อจบแล้วจะชดใช้ทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามกรณีของนักเรียนทั่วไปเมื่อรายงานตัวแล้วและเรียนไปได้ระยะหนึ่ง หากได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็สามารถลาออกจากคณะเพื่อเดินทางไปต่างประเทศได้ โดยปกติแล้วเด็กที่ได้ทุนและลาออกไปศึกษาต่อจะได้ทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เมื่อได้ทุนนี้แล้วจะไม่ค่อยปฏิเสธ เพราะถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล ดังนั้นก็จะสละสิทธิ์จากการเรียนแพทย์ เพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ

ถึงนักข่าวจะจ่อปากถามและตั้งคำถามนำ ถ้าเป็นผม ๆ ผมจะตอบว่า

เรื่องใครได้ที่หนึ่งนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเราทำอย่างไรให้หมอที่จบออกไปจากเรามีจริยธรรม และสามารถรักษาจรรยาบรรณได้

ดีนะที่เป็นข่าวการศึกษาพูดกันไม่กี่ฉบับและก็คงลงแค่วันเดียว ถ้าเป็นข่าวดาราละก็สนุก

Written by tsvhh

เมษายน 11, 2008 at 9:29 am

เขียนใน ขำ

Tagged with

ไม่อยากบ่น ไม่อยากว่า ขอด่าซะหน่อย

with 15 comments

เชื่อไหมผมเคยไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติสองหรือสามครั้งจำไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะซื้อหนังสืออะไรกันเยอะ
ขนาดนั้น ปกติผมอ่านนิตยาสารเดือนละสองสามหัวหนังสือ แล้วอ่านหนังสือขนาด 2-4 ร้อยหน้า เดือนละ
เล่ม (ไม่นับหนังสือเรียน) เรียกว่าพออ่านจบเล่มหนึ่งก็ซื้ออีกเล่มหนึ่งมาอ่าน อ่านหนังสือดีครับ แต่ไม่อ่านก็
ไม่ตาย ฟังวิทยุก็ได้ บางรายการก็ชอบเอาหนังสือมาอ่านให้ฟัง ดูหนัง ดูเกมโชว์ก็ดี(ไม่ดี แต่ดู MTV ต้อง
อวดกันไม่งั้นไม่ใช่คนมีการศึกษา) เดี๋ยวนี้กลายเป็นแฟชันไปแล้ว ที่ไปซื้อหนังสือจากงานสัปดาห์หนังสือ
แล้วมาอวดกัน ทำไปทำไมวะ

อ่านหนังสือนะดีครับ ทำอะไรก็ดีหมด ขอทีอย่าบ้าบอ เอาพอประมาณ อย่างไหนเรียกว่าพอประมาณ มีจุด
ยืน

อย่างไหนเรียกว่าพอประมาณ อย่างอาจารย์ Kitty นี่เรียกว่าพอประมาณ แกทำของแกทุกปี และหนังสือก็
ไม่ได้มากมาย เรียกว่าเพียงพอต่อการอ่านไป 2-3 เดือน (อ่านหนังสือไม่ใช่กินเหล้า จะได้กระดก กระดก
ต้องมีเวลาซึมและซับความเป็นเนื้อหาของหนังสือ เล่มนั้น ๆ ด้วย) อาจารย์ Kitty ซื้อหนังสือนี่แนวเดียวกัน
ซะส่วนใหญ่

อย่างของคุณชายขอบ เนี่ยอาจจะเกิน ๆ ไปซักนิด แต่มีแนวเพราะบอกได้ว่าซื้อมาทำไม และทำไมต้องซื้อ
แต่ออกจะแปลก ๆ ที่ซื้อคราวเดียวกันเยอะขนาดนั้น เพราะโดยปกติแล้วการได้ของมาซักหนึ่งชิ้นก็จะต้อง
มีการเปิดอ่านดู หรือพูดง่าย ๆ อ่านให้เร็วที่สุด ไม่งั้นก็ค่อย ๆ ทยอยซื้อก็ได้ นอกจากบางเล่มที่อาจจะหมด
ตลาดถ้าไม่ซื้อตอนนั้น (หนังสืออย่างนี้มีเยอะเหมือนกัน) เสียเวลาเขียนอธิบายน่าดูนะ ได้ประโยชน์?

อย่าง bact’ เนี่ยเกินไป ถ้าพูดให้เพราะหน่อยก็ประสาท รับประกันไม่ต้องตามตรวจสอบเลยครับ มันอ่าน
ไม่จบหรอก 10 ปีน่ะ (ขอบเขตของเนื้อหามันกว้างไป ถ้าเป็นแนวทางเดียวกับที่เราสนใจขณะนั้นมันก็จะ
อ่านได้เร็ว) ดีนะที่ไม่ถึงขนาดถ่ายรูปมาอวด แล้วก็ร่ายอวดศักดาของหนังสือที่จะอ่านด้วย (ทำอย่างกับว่า
อ่านแล้วจะได้ดีตามหนังสือหรือรอบรู้เหมือนผู้แต่งงั้นหล่ะ อ่านสามก๊กแบบโง่ ๆ ซักสิบจบก็ไม่ทันคนหรอก
ครับ–คึกฤทธิ์บอกว่าอ่านไม่รู้กี่จบ แต่อ่านเพราะว่าสามก๊กฉบับเจ้าพระยาฯ นั้นเป็นความเรียงร้อยแก้วที่ดี
มาก แกจะอ่านก่อนเขียนความเรียงร้อยแก้ว)

หนังสือนะครับอ่านแล้วต้องเก็บรายละเอียด (ผมอ่านบูมเล่มละ 4-5 เที่ยว ในหนึ่งสัปดาห์ มันมีอะไรซ่อน
ให้ค้นหาเยอะนะหนังสือแต่ละเล่มน่ะ) หนังสือบางเล่มอ่านแล้วก็โยนทิ้งกลางเล่มอย่าง “ขุนช้างขุนแผน” เนี่ยอ่านไม่จบจริง ๆ มันลามกเกิน เป็นต้น

ตกลงเราซื้อหนังสือมาอ่านเพื่ออวดกันว่าเล่นนี้สุดยอดมึงต้องอ่านนะ หรือเราซื้อมาอ่านเพราะเราต้องการ
ความรู้ ความบันเทิง กันแน่ ทำอะไรก็ขอให้มันมีแนวกันหน่อย พูดให้เพราะก็ทำอะไรก็ขอให้ใช้สมองกัน
หน่อย อย่าตามกระแสกันนัก ทำตัวเป็นคนแบบทักษิณกันไปได้

Written by tsvhh

เมษายน 9, 2008 at 5:39 pm

เขียนใน ขำ, สังคม, blog

Tagged with

Free Video Flip and Rotate

leave a comment »

วันก่อนไปดูกายกรรมไต่ลวดมาก หนึ่ง

62 Meter Hochmast mit lebender Fahne

อันที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเห็นจะเป็นอันนี้ The highest sway pole ตัวจริง ๆ คนจริง ๆ ไม่รู้กล้าเล่น
ได้อย่างไร เรื่องของเรื่องคือได้ถ่ายวีดิโอจากกล้องดิจิตอลเก็บเอาไว้อวดชาวบ้านที่ไม่ได้ไปดูด้วย
ปัญหาคือต้องการถ่ายมุมสูง แล้วก็ลืมทุกทีว่ากล้องพวกนี้มันใช้แนวตั้งถ่ายวีดิโอไม่ได้ กลับมาบ้านก็
เศร้าสิครับ นึกได้ว่ามันน่าจะมีโปรแกรมกลับวีดิโอให้โดยอัตโนมัติ เกือบจนแต้มเหมือนกันเพราะไม่
มีโปรแกรมฟรี ๆ ดี ๆ ให้หาได้ตอนที่ต้องการเลย แต่ในที่สุดก็หาของฟรีถูกกฎหมายได้ และทำได้
ตามที่ต้องการด้วย

rotate video, flip video

ก็โปรแกรมตัวนี้แหละครับ เล็กดีแล้วก็ใช้งานง่ายจนไม่รู้จะทำให้ง่ายกว่าอย่างไรสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ที่ต้องการเพียงแค่หมุนวีดิโอเก้าสิบองศา ถ้ามีปัญหาเหมือนก็ไปโหลดมาใช้นะครับ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้อง
กลัวเผลออีกแล้ว

Written by tsvhh

เมษายน 8, 2008 at 2:18 pm

เขียนใน เที่ยว, blog, software

Tagged with , ,